วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

รากศัพท์ CAND

CAND

ความหมาย : to glow, to be shining white, to burn มาจากภาษาละติน candere ที่แปลว่า to glow white

คำ ๆ หนึ่งที่มาจากรากศัพท์นี้คือ "candidate" (ผู้สมัครรับเลือกตั้ง) ซึ่งดู ๆ ไม่น่าจะเกี่ยวกับ to glow, หรือ to be shining white ได้เลย เพราะทุกวันนี้มีข่าวนักการเมืองคอรัปชั่นพาดหัวหนังสือพิมพ์ไม่เว้นแต่ละวัน

แต่ "candidate" คำนี้ก็มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน "candere" ที่แปลว่า to glow white จริง ๆ

กล่าวกันว่าเมื่อครั้งโบราณ ชาวโรมันที่จะสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งต่าง ๆ จะพากันซื้อหาเสื้อคลุมยาว(ที่เรียกว่า "โทก้า")สีขาวมาสวม เพื่อว่าเวลายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนผู้คนจะได้สังเกตเห็นได้ง่ายเพราะเสื้อคลุมของเขา "shining white" ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งคือสีขาวมีนัยของความบริสุทธิ์ ความดีงามนั่นเอง

แต่หลังได้รับตำแหน่งไม่นาน "candidate" เหล่านั้นก็มักจะกลายมาเป็นขี้ปากชาวบ้านเรื่องการคดโกง ฉ้อฉล ห่างไกลจากรากศัพท์อันเป็นที่มาลิบลับ …

หรือมิใช่ ขอรับกระผม!


CAN-DE-LA-BRUM /แคน ดิ ล้า บรั่ม/
A large, branched candlestick.(ที่ปักเทียนแบบมีหลายก้าน)

The beautiful silver candelabrum sat on the shelf and was only taken down to be used for very special occasions.(ที่ปักเทียนทำจากเงินสวยงามตั้งอยู่บนชั้น และจะนำลงมาใช้งานก็เฉพาะโอกาสสำคัญมาก ๆ เท่านั้น)

CAN-DLE /แค้น เดิ่ล/
A cylinder of wax with a wick enclosed which given light when burned.(ไขมันแท่งกลม ปลายแท่งมีใส้โผล่ออกมาสำหรับจุดให้แสงสว่าง--เทียนไข)

Before the days of gas and electricity, candles were the main source of light.(ก่อนจะถึงยุคของน้ำมันและไฟฟ้า เทียนไขคือแหล่งให้แสงสว่างที่สำคัญ)

IN-CENSE /อิ๊น เซ่นส์/
Spices burnt for their sweet smell.(เครื่องเทศใช้เผาเพื่อกลิ่นหอม--ธูป กำยาน)

In temples throughout the world, priests often burn incense as part of the religious service.(ในโบสถ์ทั่วโลก นักบวชจะมีการจุดธูปซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบพิธีทางศาสนา)

IN-CENSE /อิ่น เซ้นส์/
To make someone burn with anger.(ทำให้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ)

The teacher was incensed at the unruly behavior of the pupil.(ครูรู้สึกเดือดดาลกับพฤติกรรมที่ปกครองม่ได้ของเด็กนักเรียน)

CHAN-DE-LIER /แช้น ดิ เลียร์/
A branched lighting fixture, usually hanging from the ceiling.(โคมไฟที่มีหลายกิ่ง ปกติจะแขวนไว้บนเพดาน)

The crystal chandelier spread a cheerful glow in the elegant dining room. (โคมไฟแก้วเจียรนัยส่องสว่างแจ่มใสในห้องรับประทานอาหารอันหรูหรา)

CAN-DOR /แค้น เด่อร์/
Honesty, frankness, sincerity, freedom from bias.(ความซี่อสัตย์ ความเปิดเผย ความจริงใจ ปราศจากอคติ)

Alice admired John's candor in talking about what went wrong with his first marriage. (อลิซรู้สึกชื่นชมในความเปิดเผยตรงไปตรงมาของจอห์นเมื่อเขาพูดถึงสิ่งที่ผิดพลาดในการแต่งงานครั้งแรกของเขา)

IN-CAN-DES-CENT /อิ๊น แค็น เด้ส เซ่นท์/
Very bright, glowing with light or heat.(สว่างจ้า ลุกโชนด้วยไฟหรือความร้อน)

In 1879, Thomas Alva Edison invented the incandescent electric bulb. (ในปี ค.ศ. 1879 โทมัส อัลวา เอดิสัน ประดิษฐ์หลอดไฟ)

IN-CEN-DI-AR-Y /อิน เซ้น ดิ เออ รี่/
A person who deliberately starts a fire; stirring up trouble.(คนที่วางเพลิงอย่างแนบเนียน การก่อให้เกิดความวุ่นวาย)

His speech in defense of abortion was highly incendiary to his mostly Catholic audience.(ปาฐกถาของเขาในการปกป้องการทำแท้งจุดชนวนอย่างรุนแรงในหมู่ผู้ฟังส่วนใหญ่ที่เป็นคาธอลิค)

CAN-DI-DATE /แค้น ดิ เดท/
A person who seeks to run for an office.(คนที่เข้าแข่งขันชิงตำแหน่ง ผู้สมัคร)

The conservative candidate promised to eliminate inflation, and the liberal candidate promised to eliminate unemployment.(ผู้สมัครพรรคอนุรักษ์นิยมให้สัญญาว่าจะขจัดปัญหาเงินเฟ้อ และผู้สมัครพรรคเสรีนิยมให้สัญญาว่าจะขจัดปัญหาการว่างงาน)

ราศัพท์ CAD, CAS, CID

CAD, CAS, CID

ความหมาย : to fall มาจากภาษาละติน cader ที่แปลว่า to fall

อันว่าการตก หล่น ร่วง นั้นมีความหมายทั้งโดยตรงและโดยนัย--ใบไม้ร่วง ชีวิตร่วง ตะวันตก--
ลองใคร่ครวญดูเถิด

ในที่นี้มีอยู่คำหนึ่งที่ไม่ควรสับสน คือคำว่า "case" ที่หมายถึงเหตุการณ์ กรณี คดี ตัวอย่าง กับ "case" ที่หมายถึงกล่อง หีบ คำทั้งสองนี้ในภาษาอังกฤษเขียนเหมือนกันทุกอย่าง อ่านออกเสียงเหมือนกันด้วย แต่มีที่มาต่างกัน "case" ที่หมายถึงเหตุการณ์มาจากภาษาละติน capsus หมายถึง a falling เป็นกริยาช่อง 3 ของ cadere ที่แปลว่า to fall

ส่วน "case" ที่หมายถึงกล่องมาจากภาษาละติน capsu หมายถึง a box, chest ซึ่งมาจาก capere ที่แปลว่า to take, contain, hold อีกทีหนึ่ง

คำที่มาจากรากศัพท์ cad, cas, cid มีดังนี้


AC-CI-DENT /แอ๊ค ซิ เด่นท์/
A sudden fall or collision; an unexpected happening.(การล้มครืนหรือความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด--อุบัติเหตุ)

There have been many railway accidents this year. (ปีนี้มีอุบัติเหตุทางรถไฟหลายครั้ง)

CA-DAV-ER /ค่ะ แด็ฟ เว่อร์/
A fallen or dead body; a corpse.(ร่างที่ร่วงลงหรือร่างที่ตายไปแล้ว ศพ)

The doctors had performed an autopsy on the cadaver for a long time before they could determine the cause of death. (แพทย์ได้ทำการชันสูตรศพเป็นเวลานานก่อนพวกเขาจะสามารถลงความเห็นได้ว่าสาเหตุของความตายคืออะไร)

OC-CA-SION /อ็อค เค้ ชั่น/
A happening; a special event.(การเกิดขึ้น เหตุการณ์พิเศษ)

He was filled with both joy and fear on the occasion of his wedding. (เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกทั้งดีใจทั้งกลัวในโอกาสแต่งงานของเขา)

OC-CA-SION-AL /อ็อค เค้ ชั่น น่อล/
Happening now and then; infrequent.(เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ไม่บ่อย)

He pays me occasional visits.(เขามาเยี่ยมฉันบ้างเป็นครั้งคราว)

CA-DEN-ZA /ค่ะ เด๊น ซ่า/
A brilliant musical passage, rich in rises and falls.(บทเพลงที่ไพเราะ เต็มไปด้วย
เสียงสูง-ต่ำ)

At the end of the first movement of the concerto, there was a beautifully played cadenza for the flute.(ในตอนจบของมูฟเมนท์แรกของคอนแชร์โต มีการบรรเลงขลุ่ยได้ไพเราะจับใจมาก)

CO-IN-CIDE /โค อิน ซายด์/
To be exactly the same; to occur at the same time.(เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว เกิดขึ้น
ในเวลาเดียวกัน)

They could not go to the theatre together because his free time never coincided with hers. (พวกเขาไม่สามารถไปชมละครด้วยกันได้ เพราะเวลาว่างของเขาไม่เคยตรงกับเวลาว่างของเธอเลย)

DEC-A-DENCE /เด๊ค คะ เด่นซ์/
A falling or decline in morals or culture.(ความเสื่อมทรามด้านศีลธรรมหรือวัฒนธรรม)

The Romans themselves were responsible for the decadence of the Roman Empire.(ชาวโรมันนั่นเองที่ต้องรับผิดชอบความเสื่อมโทรมของจักรวรรดิโรมัน)

DE-CID-U-OUS /ดี ซี้ด ดู อั่ส/
Falling off at certain seasons or stages of growth; short lived; temporary. (ร่วงหล่น ล้มตายลงในฤดูนั้น ๆ อันเนื่องจากระยะการเจริญเติบโต มีอายุสั้น ชั่วคราว)

Deciduous trees shed their leaves every fall.(ต้นไม้ผลัดใบ จะทิ้งใบทุกฤดูใบไม้ร่วง)

CO-IN-CI-DENCE, CO-IN-CI-DENT /โค อิ๊น ซิ เด่นซ์/ โค อิ๊น ซิ เด่นท์/
Falling together.(การตกมารวมกัน--เกิดขึ้นเหมือนกัน ตรงกัน บังเอิญ)

It was just by coincidence that the two ladies wore the same dress to the party.(มันเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้นที่สุภาพสตรีสองคนนั้นสวมชุดเหมือนกันไปงานปาร์ตี้)

CA-DENCE /เค้ เด่นซ์/
The rise and fall of the voice in talking; rhythmic movement in dancing or marching. (เสียงสูง ต่ำ ในการพูด จังหวะการเคลื่อนไหวในการเต้นรำ หรือเดินแถว)

Sometimes it is possible to recognize which foreign language is being spoken just by listening to the cadence. (บางครั้งเพียงแค่ฟังสำเนียงการพูด ก็สามารถบอกได้ว่าภาษาต่างประเทศภาษาใดที่กำลังพูดอยู่)

CASE /เคส/
An example or occurence; something that happened to befall.(ตัวอย่างหรือเหตุที่เกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้น)

Parents were asked to examine their children carefully because there were three cases of chicken pox in the school.(พ่อแม่ได้รับการขอร้องให้เฝ้าสังเกตลูก ๆ ของตนให้ดีเพราะว่าในโรงเรียนมีเด็กเป็นอีสุกอีใสสามรายแล้ว)

OC-CI-DENT /อ๊อค ซิ เด่นท์/
Direction of the setting (falling) sun; the Western hemisphere.(ทิศทางการตกของตะวัน ซีกโลกตะวันตก)

Some historians are predicting that in the near future there will be a shift of power from the Occident to the Orient.(นักประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งพยากรณ์ว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจจากโลกตะวันตกไปสู่โลกตะวันออก)

IN-CI-DENT /อิ๊น ซิ เด่นท์/
An occurence; something that befall; minor event.(เหตุการณ์ สิ่งที่เกิดขึ้น เหตุการณ์เล็ก ๆ)

Falling on his head was just one of the minor incidents in John's traumatic first five years of life.(การล้มหัวฟาดพื้นเป็นเพียงในเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างหนึ่งของการบาดเจ็บในช่วงห้าปีแรกในชีวิตของจอห์น)

CHANCE /ช้านส์//แช้นส์)
A happening; an accidental occurrence. (การเกิดขึ้น เหตุโดยบังเอิญ)

The two friends met by chance on their vacation.(เพื่อนสองคนพบกันโดยบังเอิญขณะไปพักผ่อนในวันหยุด)

DE-CAY /ดิ เคอิ/
To lose strength; to deteriorate, waste away.(สูญเสียกำลัง เสื่อมถอย ผุกร่อน)

If you do not take good care of your teeth, they may decay.(ถ้าคุณไม่ดูแลฟันของคุณให้ดี มันอาจผุได้)

รากศัพท์ BELL

BELL

ความหมาย : war
มาจากภาษาละติน bellum ที่แปลว่า war และ bellare ที่แปลว่า to wage war

สงครามเกี่ยวข้องกับมนุษย์มาช้านาน จะดีไม่ดีอย่างไรเป็นช่วงประวัติศาสตร์ที่จำเป็นอย่างหนึ่งของมนุษย์ ผู้ใฝ่สันติทั้งปวงต่างคัดค้าน แต่ผู้ตัดสินใจทำสงครามก็เป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง และยังมีคำพูดประเภท "เป้าหมายของสงครามคือสันติภาพ" ออกมาให้ชาวเราได้เรียนคิดกันอีก

ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบสงคราม ศัพท์ที่มีรากมาจาก "bell" ก็จำเป็นต้องรู้กัน อย่างเช่น antebellum หมายถึงช่วงก่อนสงคราม และ post-bellum หมายถึงหลังสงคราม ทั้งสองคำมี
ความหมายเฉพาะถึงสงครามกลางเมืองสหรัฐในปี 1861-1865

สำหรับคำอื่นที่มาจากรากศัพท์ "bell" มีดังนี้

BEL-LI-COSE /เบ๊ล ลิ โค่ส/
Eager to fighting, hostile, quarrelsome.(ชอบชกต่อย เป็นปฏิปักษ์ ชอบทะเลาะวิวาท)

His puny size and build would have made him a natural target for teasing, but his bellicose manner deterred others from bullying him. (รูปร่างและขนาดเล็กจิ๋วของเขาย่อมทำให้เขากลายเป็นเป้าของการกระเซ้าเย้าแหย่จากคนอื่น แต่นิสัยชอบชกต่อยของเขากันไม่ให้คนอื่นข่มเหงเขาได้)

REB-EL /เร็บ เบิ่ล/
A person who engages in armed resistant against the established government of his country. A person who resists any authority or control.(บุคคลที่เข้าร่วมต่อต้านรัฐบาลของตนด้วยกำลังอาวุธ คนที่ต่อต้านอำนาจหรือการควบคุม-ขบถ)

The American policy in Viet Nam created many rebels on America's college campuses. (นโยบายของอเมริกาในเวียดนามก่อให้เกิดการต่อต้านมากมายในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของอเมริกา)

BEL-LIG-ER-ENT /เบล ลิจ เจอ เร่นท์/
Engaged in war; a person, group, or nation provoking or engaging in battle.
(เกี่ยวข้องในสงคราม บุคคล กลุ่ม หรือประเทศผู้ก่อหรือเข้าร่วมในการสงคราม)

It's not easy for the United Nations to make the belligerent countries approve the cease-fire plan.(ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสหประชาชาติที่จะทำให้ประเทศที่เกี่ยวข้องกับสงครามยอมรับแผนการหยุดยิง)

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552

รากศัพท์ ARCH

ARCH

ความหมาย : beginning, the first, the leader, the ruler
มาจากภาษากรีก archos ที่แปลว่า ruler

รากศัพท์ "arch" เมื่อนำมาเป็นอุปสรรค(prefix)ออกเสียง "อาร์ช"ใช้บอกตำแหน่งบรรดาศักดิ์ มีความ หมายว่า main, chief, principal แต่เมื่อ "arch" ทำหน้าที่เป็นปัจจัย(suffix) จะออกเสียง "อาร์ค" มาจากภาษากรีก archos (=ruler) ซึ่งมาจาก archein อีกทีหนึ่ง แต่เดิมหมายความว่า to be first, begin
ความพยายามเป็นหนึ่งในชีวิตเรานั้นทำให้เกิดทุกข์มากมาย บางรายถึงขั้นต้องเอาชีวิตแลก บางรายก็สาบานว่าถ้าไม่ "เป็นหนึ่ง" ก็จะไม่เป็นอะไรเลย ความอยากเป็นหนึ่งนั้นถือเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง แต่การดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อความเป็นหนึ่งจนหลงลืมผิดชอบชั่วดีย่อมไม่ก่อสุขเป็นแน่ สำหรับผู้มีความไตร่ตรอง "ทางสายกลาง" คือแนวคิดที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
ศัพท์ที่มาจากราก "arch" มีดังนี้

MON-ARCH /ม็อน นาร์ค/

The single or sole ruler of a state.(ผู้ปกครองสูงสุดเพียงผู้เดียวของประเทศ--กษัตริย์)
Louis XVI, the monarch of France, was beheaded during the French
Revolution.(พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ถูกตัดพระเศียรในระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส)

ARCH-BISH-OP /อาร์ช บิ๊ช ออพ/

The chief bishop who presides over an archdiocese.(หัวหน้าบิช็อพที่เป็นประ
ธานปกครองเขต--ทับศัพท์ว่า "อาร์ชบิช็อพ")
Thomas Becket, the archbishop of Canterbury, was murdered when he
opposed King Henry II.(โทมัส เบ็คเค็ท อาร์ชบิช็อพแห่งแคนเทอเบอรี่ ถูกสังหารเมื่อเขาต่อ
ต้านพระเจ้าเฮนรี่ที่ 2)

AR-CHI-TECH /อ๊าร์ คิ เถ็ค/

A person whose profession is designing and drawing up plans for buildings,
bridges, etc.(บุคคลที่มีอาชีพในการออกแบบและวางแผนการก่อสร้างอาคาร สะพาน ฯลฯ--สถาปนิก)
The Guggenheim Museum in New York City was designed by the famous
American architect Frank Lloyd Wright.(พิพิธภัณฑ์กู๊กเก็นไฮม์ในเมืองนิวยอร์ค ซิตี้ได้รับ
การออกแบบโดยสถาปนิกชาวอเมริกันผู้มีชื่อเสียงนามแฟร้งค์ ลอยด์ ไร้ท์)

PA-TRI-ARCH /เพ้ ทริ อาร์ค/

The father and ruler of a family or tribe.(บิดาและผู้ปกครองครอบครัวหรือ เผ่า)
Abraham was a Biblical patriarch who is said to be the founder of the
Hebrew tribe.(อับราฮัมคือบิดาตามคำภีร์ไบเบิลผู้ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นผู้ให้กำเนิดชนเผ่าฮิบรูว์)

MA-TRI-ARCH /ม้า ทริ อาร์ค/

The mother or woman who rules the family or tribe.(มารดาหรือสตรีผู้ปกครองครอบครัว
หรือเผ่า)
The 70-year-old grandmother was the matriarch of the family.(คุณย่าวัยเจ็ด
สิบเป็นผู้นำครอบครัว)

AR-CHE-OL-O-GY /อ๊าร์ คี อ๊อล โล จี่/ AR-CHE-OL-O-GIST /อ๊าร์ คี อ๊อล โล จีสท์/

The scientific stdudy of the life and culture of ancient people.(การศึกษาชี
วิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรมของคนโบราณ--วิชาโบราณคดี นักโบราณคดี)
We have learned much about the age and origin of man from bones
excavated by archeologists.(เราได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับยุคสมัยและต้นกำเนิดของมนุษย์จาก
โครงกระดูกที่ขุดค้นโดยนักโบราณคดี)

ARCH-DE-O-CESE /อาร์ช ดี โอ ซีส/

The district presided over by an archbishop.(ท้องที่ อำเภอ ที่ปกครองโดยอาร์ชบิช็อพ)
The archdiocese of New York is proud of Mother Seton, a New Yorker who
was declared to be the first American saint.(ท้องที่ปกครองของบาทหลวงแห่งนิวยอร์คต่าง
ภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เซตัน ชาวนิวยอร์คผู้ได้รับการประกาศว่าเป็น "เซ้นต์"(นักบุญ) คนแรก)

HI-ER-AR-CHY /ไฮ เออร์ อ๊าร์ คี่/

A group of persons or things arranged in order of rank, grade or class.(กลุ่ม
บุคคลหรือสิ่งของที่จัดระเบียบตามขั้น ระดับ หรือชั้น)
The President is at the head of the governmental hierarchy.(ประธานาธิบดี
เป็นหัวของกลุ่มอำนาจในรัฐบาล)

AN-AR-CHY /แอ็น อ๊าร์ คี่/

The complete absence of government and law.(ภาวะไร้รัฐบาลและกฎหมาย--อนาธิปไตย)
After the revolution, there was complete anarchy in the land.(ภายหลัง
การปฏิวัติ ประเทศตกอยู่ในภาวะไร้กฎหมายโดยสิ้นเชิง)

ARCH-DUKE /อาร์ช ดยุค//-ดุ๊ก/

A chief duke esp. a prince of the former Austrian royal family.(หัวหน้าดยุค
โดยเฉพาะเจ้าชายอดีตราชวงค์ของออสเตรีย-ทับศัพท์ว่า "อาร์ช ดยุค")
The assassination of Archduke Francis Ferdinand of Austria on June 28,
1914 precipitated World War I.(การลอบสังหารอาร์ชดยุค ฟราสซิส เฟอร์ดินันด์แห่งออสเตรีย
เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน คศ. 1914 ก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1)

AR-CHE-TYPE /อ๊าร์ คิ ไท้พ์/

The original pattern, or model, from which all other things of a same kind
are made. Perfect example of a type or group. (ต้นแบบ ตัวอย่างที่สำคัญของคนหรือสิ่ง
ของประเภทนั้น ๆ)
Satan is the archetype of evil.(ซาตานคือต้นแบบแห่งความชั่วร้าย)

AR-CHI-PEL-A-GO /อ๊าร์ คิ เพ็ล ละ โก/

A sea with many islands.(ทะเลที่มีเกาะจำนวนมาก)
The Aegean archipelago lies between Greece and Turkey.(ทะเลอีเจี้ยนทอด
ยาวอยู่ระหว่างกรีซกับตุรกี)

AR-CHA-IC /อาร์ เค้ อิค/

Belonging to ancient times; old-fashioned.(เป็นของสมัยโบราณ ล้าสมัย)
The word "thou" is an archaic form of "you."(คำว่า "thou" เป็นรูปศัพท์โบราณของคำ
ว่า "you" )

ARCH-EN-E-MY /อาร์ช เอ๊น นี มี่/

Chief enemy.(ศัตรูตัวสำคัญ)
Disease is the archenemy of mankind.(โรคภัยไข้เจ็บคือศัตรูตัวสำคัญของมนุษยชาติ)

ARCH-AN-GEL /อาร์ช แอ๊น เจิ่ล/

Chief angel; angle of highest rank.(หัวหน้าเทพ หรือเทพชั้นสูง)
Gabriel was one of the seven archangels.(กาเบรียลคือหนึ่งในเจ็ดเทพชั้นสูง)

รากศัพท์ AMBUL

AMBUL

ความหมาย : to walk, to move
มาจากภาษาละติน ambulare ที่แปลว่า to walk, to go

ศัพท์ภาษาอังกฤษที่เกิดจากรากศัพท์นี้ยังคงความหมาย "to walk" ไว้เช่นเดิม มีเพียงคำเดียวที่เปลี่ยนจากอาการ "เดิน" สบาย ๆ ไปเป็นการ "ห้อตะบึง" นั่นคือคำว่า "ambulance" ที่เราเห็นวิ่งห้อตะบึงไปตามถนนสายต่าง ๆ อาจมีแสงไฟแว๊บ ๆ และเสียไซเร็นประกอบด้วยตามแต่กรณี

เหตุที่ "ambulance" ต้องมีอันเปลี่ยนแปลงความหมายดังกล่าวอธิบายได้ว่าภาษาอังกฤษคำนี้มาจากภาษาฝรั่งเศส "hopital ambulant" ที่มาจากภาษาละติน "ambulare" เดิมที "hopital ambulant" หมายถึง
โรงพยาบาลสนามในภาวะสงคราม การนำคนป่วยมาที่โรงพยาบาลก็คงเป็นการพยุง แบก หาม หรือเดินกันมา เมื่อโลกเปลี่ยนไป ยวดยานต่าง ๆ ได้รับการพัฒนาขึ้น "ambulance" ก็เลยเป็นพาหนะที่รวดเร็วอย่างที่เห็น และคำว่า "hopital ambulant" ซึ่งยาวยืดยาดก็หดลงเหลือเพียง "ambulance" อย่างที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน


AM-BU-LA-TO-TY /แอ๊ม บิว เล ทอ รี่/
Able to walk and not confined to bed (สามารถเดินได้ ไม่ได้นอนซมอยู่บนเตียง)
After being confined to his bed for a long time, the patient finally became ambulatory.(หลังจากนอนซมอยู่บนเตียงมาเป็นเวลานาน ในที่สุดคนป่วยก็สามารถเดินไปมาได้)

PRE-AM-BLE /พรี แอ๊ม เบิ่ล/
An introduction esp. one to a constitution, statute, etc. stating its reason and purpose; an introductory fact, event etc (บทกล่าวนำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ฯลฯ ที่กล่าวถึงเหตุผลและจุดประสงค์ ข้อเท็จจริง เหตุการณ์ที่นำเสนอเบื้องต้น)
The preamble to the American Constitution expresses a dedication to the cause of freedom and justice.(บทกล่าวนำของรัฐธรรมนูญอเมริกันได้อุทิศแด่มูลเหตุแห่งเสรีภาพและความยุติธรรม)

AM-BLE /แอ๊ม เบิ่ล/
To walk in a leisurely manner; to move at an easy pace (เดินตามสบาย ๆ เคลื่อนไหวอย่างไม่รีบร้อน)
He was coming along at an amble.(เขาเดินมาอย่างไม่รีบร้อน)
Judy ambled down the street without noticing the secret eyes watching her from the bush nearby. (จูดี้เดินเอ้อระเหยไปตามถนนโดยไม่ได้สังเกตว่ามีสายตาแอบจ้องมองมาจากพุ่มไม้ข้างทาง)

AM-BU-LANCE /แอ๊ม บิว แล่นซ์/
A special vehicle for carrying the sick or wounded (ยานพาหนะพิเศษสำหรับรับส่งผู้ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ--รถพยาบาล)

The boy who was hurt in the accident was rushed to the hospital in an ambulance.(เด็กชายที่ได้รับบาดเจ็บในอุบัติเหตุถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างรีบเร่งในรถพยาบาล)

PER-AM-BU-LA-TOR /เพอร์ แอ๊ม บู เล้ เท่อร์/
A carriage or a buggy for taking the baby outdoors (รถเข็นสำหรับพาเด็กไปนอกบ้าน)

In England, a baby carriage or buggy is called a "pram," short for "perambulator." (ในอังกฤษ เรียกรถเข็นเด็กว่า "แพรม" ซึ่งมาจากคำเต็มว่า "เพอร์แอ๊มบูเล้เท่อร์)

SOM-NAM-BU-LIST /ซอม แน๊ม บู ลิสท์/
A sleep walker (คนที่ละเมอเดินขณะยังหลับ)

Just as the somnambulist reached the top of the stairs, his mother shrieked, and luckily, he woke up. (เจ้าคนที่ละเมอเดินไปถึงหัวบันไดพอดีกับที่แม่เขากรีดร้องออกมา และก็โชคดีที่เขารู้สึกตัวตื่น)

รากศัพท์ ALLOS, ALTER

ALLOS, ALTER

ความหมาย : other
มาจากภาษาละติน alter ที่แปลว่า other และภาษากรีก allos ที่แปลว่า other

มนุษย์เป็นสัตว์พวก หมู่ เหล่า เผ่า--จึงมักมีความสุขสบายใจเมื่อได้อยู่กับคนที่เหมือน ๆ กันกับตัวเอง สิ่งหรือคน "อื่น" มักถูกมองอย่างไม่ไว้ใจ หวาดระแวง หรือไม่สบายใจ รวม ๆ คืออะไรที่มัน "อื่น" ก็มองไปในทางลบไว้ก่อน

คำในภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ที่สร้างมาจากรากศัพท์ที่แปลว่า other ยังคงมีความที่แฝงนัยไปในทางลบอยู่ จะมีก็เพียงคำว่า "altruism" ที่กลับมีความหมายว่าความไม่เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ผู้อื่น ทั้งนี้มีนักวิชาการบางท่านให้ความเห็นว่าภาษาอังกฤษรับเอาคำนี้มาจากภาษาฝรั่งเศส "autrisme" ซึ่งอาจมาจากภาษาอิตาเลียน "altrui" หรือฝรั่งเศส "autrui" ที่แปลว่าของหรือแก่ผู้อื่น (of or to others)ก็เป็นได้

อย่างไรก็ตามนั่นคือที่มา สำหรับเราในปัจจุบันที่อยู่ในโลกซึ่งเล็กลง ความเป็น "อื่น" นั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น "สิ่ง" หรือ "คน" ดังนั้นหากจะมีชีวิตอยู่ในโลกให้มีความสุขสบายใจก็ต้องทำใจให้สอดคล้องกับความเป็นจริงว่า แม้แต่ตัวเราเองก็ยังเป็น "อื่น" ในสายตาคนอื่นหรือในดินแดนอื่น

คำภาษาอังกฤษที่มาจากราศัพท์ "allos" และ "alter" มีดังนี้

AL-TRU-ISM /แอ็ล ทรู อิ๊ซซึ่ม/ - Unselfish concern for the welfare of others, selflessness (คำนึงความเป็นอยู่ผู้อื่นอย่างไม่เห็นแก่ตัว ความไม่เห็นแก่ตัว)

When the city was struck by the earthquake, people who followed the principles of altruism from all over the world volunteered their help to the victims. (เมื่อเมืองนี้เกิดแผ่นดินไหว ผู้คนที่ดำเนินชีวิตอย่างคำนึงถึงประโยชน์ผู้อื่นจากทั่วโลกต่างสมัครใจยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย)

AL-IEN /เอ๊ล เลี่ยน/ - Belonging to another country, a foreigner, an outsider; strange to, not natural. (เป็นของประเทศอื่น ชาวต่างชาติ คนภายนอก แปลกหน้า ไม่ธรรมชาติ)

An Englishman is an alien in Thailand.(คนอังกฤษเป็นคนต่างชาติในประเทศไทย)

AL-LER-GY /แอ๊ล เลอ จี่/ - A hypersensitivity to specific substance such as foods, pollen, dust, etc.
(ปฏิกิริยาที่มีความไวเป็นพิเศษต่อบางสิ่งบางอย่างเช่น อาหาร ละอองเกสร ฝุ่นละออง ฯลฯ)

Whenever Susy walks into the flower garden, her allergy seems to be ready to act up and she starts to sneeze. (เมื่อใดก็ตามที่ซูซี่เดินเข้าไปในสวนดอกไม้ อาการแพ้ของหล่อนก็มักจะเกิดขึ้นแล้วจามฟิด ๆ เสมอ)

AL-TER /อ๊อล เท่อร์/ - To make different in details but not in substance, to change.(ทำให้ต่างออกไปใน
แง่ของรายละเอียด ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแก่นแท้ เปลี่ยนแปลง)

There isn't much alteration in the village; it's almost the same as it was twenty years ago. (ไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากนักในหมู่บ้าน มันเกือบจะเหมือนเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว)


AL-TER-NA-TIVE /อ๊อล เทอร์ เน ถีฟ/ - Another possibility, another choice.(ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง อีกตัวเลือกหนึ่ง)

Paul's parents are so poor that they can't pay for his college fees, so he has no alternative but to find a job. (พ่อแม่ของพอลยากจนมากจนไม่สามารถชำระค่าเล่าเรียนในวิทยาลัยให้เขาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากหางานทำ)

AL-TER E-GO /อ๊อล เทอร์ อี โก/ - Another aspect of oneself; a very close friend (อีกร่างหนึ่ง เพื่อนสนิท)

Dr. Jekyll and Mr. Hyde were alter egos in R. L. Stevenson' story The Strange Case of Dr. Jekyll and Mr. Hyde.(ดร.เจกิลกับ มร.ไฮด์คือสองคนในร่างเดียวกันในนวนิยายเรื่อง The Strange Case of Dr. Jekyll and Mr. Hyde ของ อาร์ แอล สตีเวนสัน--หมอเจกิลเป็นคนดีมีเมตตา เขาค้นพบยาชนิดหนึ่งซึ่งสามารถเปลี่ยนเขาให้เป็นมิสเตอร์ไฮด์ผู้เลวร้ายป่าเถื่อน แล้วกลับมาเป็นหมอเจกิลอีกครั้งในตอนท้าย)


A-LI-AS /เอ๊ ลิ อัส/ - An assumed name; another name (ชื่อสมมุติหรือตั้งเอง อีกชื่อหนึ่ง)

To keep the police off his tracks, he assumed an alias every time he moved. (เพื่อไม่ให้ตำรวจติดตามตัวได้ เขาจึงเปลี่ยนชื่อใหม่ทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหว)

AL-TER-NATE /อ๊อล เทอร์ เหนท/ - Occurring by turns; succeeding each other.(การเกิดขึ้นแบบหมุนเวียนเป็นรอบ หมุนวนตามหลังกันและกัน)

He and I go to the evening school on alternate days.(เขากับฉันสลับกันไปโรงเรียนภาคค่ำกันคนละวัน)

On the school farm they alternate crops. (ในฟาร์มของโรงเรียนพวกเขาปลูกพืชแบบหมุนเวียนกัน)

AL-LE-GO-RY /แอ๊ล ลิ กอ รี่/ - A story in which people, things and happenings have a hidden or symbolic meaning; allegories are used for teaching or explaining ideas, moral principles, etc.(เรื่องซึ่ง คน สิ่งของ และเหตุการณ์มีความหมายแฝงหรือเป็นสัญลักษณ์เรื่องประเภท "allegory" ใช้สำหรับสอนหรืออธิบายความหมายแนวคิด หรือกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมต่าง ๆ)

Bunyan's "Pilgrim's Progress" is an allegory in which ideas such as patience, purity and truth are symbolized by person who are characters in the story.(บทประพันธ์เรื่อง Pilgrim's Progress ของบันยันเป็นประเภทแฝงคติคำสอน ซึ่งแนวคิดต่าง ๆ เช่น ความอดทน ความบริสุทธิ์และสัจธรรมถูกทำให้เป็นสัญลักษณ์ โดยใช้คนที่เป็นตัวละครในเรื่องเป็นตัวแทน)

The World of Books

The World of Books

is the most remarkable creation of man.
Nothing else he builds lasts.
Monuments fall.
Nations perish.
Civilizations grow old and die out.
And after an era of darkness
New races build others,
But in the world of books are volumes
That have seen this happen again and again
And yet live on,
Still young,
Still as fresh as the day they were written,
Still telling men's hearts
Of the hearts of men centuries dead.

Written by Clarence Day

เรียนศัพท์จากรากศัพท์

นำเรื่อง


คำในภาษาอังกฤษนั้นอยู่กันเป็นครอบครัวเป็นตระกูล(family) มี "ตระกูล" ของคำมากมายและน่าสน
ใจอย่างยิ่ง แต่ละ "ตระกูล" มี "รากศัพท์" เป็นตัวสืบทอดแตกขยายเป็นลูกหลานคำในตระกูลขึ้นมา
แต่ก่อนจะเปิดอ่านด้านใน ขอเวลาสักครู่
เราจะดูกันก่อนว่า "ราศัพท์" คืออะไรกันแน่ และสามารถแตกหน่อไปอย่างไรบ้างโดยอนุมานเอา
ว่าเรารู้จักศัพท์ที่ยกมาประกอบตัวอย่างกันแล้ว
เช่นเมื่อเราพบคำว่า
EXPIRE เรารู้ว่า "ex" แปลว่า out และ "pire" มาจากภาษาละติน spirare แปลว่า
to breath ดังนั้นคำนี้จึงมีความหมายว่า to breath out
METAPHOR เรารู้ว่า "meta" แปลว่า over และ "phor" มาจากภาษากรีก pherein แปลว่า
to bear ดังนั้นคำนี้จึงมีความหมายว่า to carry over
EXTRACTION เรารู้ว่า "ex" แปลว่า out และ "tract" มาจากภาษาละติน trahere
แปลว่า to draw ส่วน "tion" คือ the act เพราะฉะนั้นคำนี้ทั้งคำก็คือ the act of drawing
out
หรือ REPORTER เรารู้ว่า "re" แปลว่า back และ "port" มาจากภาษาละติน portare
แปลว่า to carry ส่วน "er" คือ one who ดังนั้นทั้งคำจึงหมายถึง one who carries
something back (ซึ่งในที่นี้ก็คือ "ข่าว" นั่นเอง)

บางทีคุณอาจบอกว่าถูกแล้ว แต่ที่อยากรู้ก็คือทำไม "spirare" มันจึงแปลว่า to breath ทำ
ไม "pherein" แปลว่า to bear ทำไม "port" แปลว่า to carry หรือทำไม "tract" ถึงได้
แปลว่า to draw ด้วยล่ะ
คำถามนี้ตอบได้ไม่ยากคือ "ไม่ทราบ ขอรับ"
คำว่า "spirare", "pherein", "port" และ "tract" อยู่ในกลุ่มที่เราเรียกกันว่า
"รากศัพท์" หรือ root ของภาษาอังกฤษ
และถ้ามีใครถามอีกว่า ที่เรียกว่า "รากศัพท์" นี่มันหมายถึงอะไรกันแน่ะ ก็ตอบได้ว่า
มันคือคำศัพท์ที่เราไม่รู้ว่า "ทำไม" มันจึงมีความหมายเช่นนั้น นั่นเอง
ตอบเหมือน "กำปั้นทุบดิน" เปี๊ยบเลย
แต่นั่นแหละคือคำตอบที่ถูก

"รากศัพท์" เป็นคำที่อยู่อย่างเป็นอิสระและมีความหมายโดยตัวมันเอง เปรียบประดุจ "อิฐ" แต่ละ
ก้อนซึ่งนอกจากจะมีความหมายในตัวเองแล้ว ยังสามารถนำมาสร้างเป็นตึกอาคารหรือสิ่งก่อสร้างได้
หลากหลายหมื่นพันชนิด "รากศัพท์" แต่ละตัวก็เช่นกัน มันสามารถแตกหน่อออกเป็นคำต่าง ๆ ได้มากมาย
ให้เราได้อาศัยเป็นสื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดและสติปัญญา
จะเห็นได้ว่า "รากศัพท์" นี่น่ารักน่าค้นคว้าศึกษาทีเดียวเลยนะ ขอรับ

กำเนิดของคำ

คุณอาจสงสัยว่า "ภาษา" เกิดขึ้นได้อย่างไร นับว่าเป็นคำถามที่ยอดเยี่ยมมาก จำเป็นต้องรู้อย่างยิ่ง
แต่ทว่าเป็นคำถามที่ตอบได้ง่ายมากอีกเช่นกันคือ "เราไม่ทราบ" มันเกิดขึ้นนมนานกาเล นานเสีย
จนมนุษย์เราไม่สามารถจะเค้นเอาความลับดำมืดนี้ออกมาจากอดีตอันเลือนลางได้ มนุษย์โบราณแต่ละกลุ่ม
แต่ละชนเผ่าก็คงต้องการหา "เครื่องมือ" มาสื่อระหว่างกันให้รู้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น สื่อความต้อง
การร่วมกัน สื่อความรู้สึกนึกคิดต่อกัน แล้วนานเข้าแต่ละพวกแต่ละกลุ่มก็คงเห็นตรงกันว่าจะเรียกสิ่งนั้นสิ่ง
นี้ว่าอย่างนั้นอย่างนี้
แต่หากจะถามว่ามันเกิดขึ้นได้ "อย่างไร" นั้นเราไม่อาจทราบได้ มีทฤษฎีเกี่ยวกับการ "กำเนิด
ภาษา" อยู่มากมาย ล้วนแต่น่าสนใจทั้งนั้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีข้อโต้แย้งหรือแคลงใจอยู่ และยังไม่มีทฤษฎี
ใดที่ได้รับการยอมรับว่า "ถูกต้อง" "สมบูรณ์" เลย
อย่างไรก็ตาม ในบรรดา "รากศัพท์" ทั้งหลายนั้น มีอยู่กลุ่มหนึ่งที่เป็นข้อยกเว้นสำหรับกฎเกณฑ์นี้
นั่นคือเรารู้ว่า "ทำไม" มันจึงมีความหมายเช่นนั้น เราเรียกมันว่า "onomatopoeic" ซึ่งก็คือคำ
ที่เลียนเสียงธรรมชาตินั่นเอง ตัวอย่างเช่น roar ซึ่งเกิดจากความพยายามเลียนเสียงคำรามของสิง
โต คำอื่น ๆ ในกลุ่มนี้ก็เกิดขึ้นมาในลักษณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น buzz ซึ่งเลียนเสียงผึ้ง hiss
เลียนเสียงงู quack เลียนเสียงเป็ด เป็นต้น
สรุปได้ความว่ารากศัพท์ "onomatopoeic" เหล่านี้เป็นข้อยกเว้น ส่วนรากศัพท์อื่น ๆ เราไม่สา
มารถตอบได้ว่าทำไมมนุษย์จึงเลือกให้ "เสียง" นั้น ๆ มี "ความหมาย" อย่างนั้น


คำยืม

ในภาษาอังกฤษมี "คำยืม" (loan words) มาจากภาษาอื่น ๆ มากมายหลายภาษา แต่ที่โดดเด่น
มากที่สุดได้แก่ภาษาฝรั่งเศสและภาษาละติน มีเหตุการณ์สำคัญ 2 อย่างที่ทำให้ภาษาอังกฤษมีสภาพอย่างที่
เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน
เหตุการณ์แรกคือในปี 1066 เป็นเหตุการณ์ที่ดูประหนึ่งว่าพระเจ้าจงใจ
จะเปลี่ยนโฉมหน้าภาษาอังกฤษไปโดยสิ้นเชิง นั่นคือดยุคแห่งนอร์มังดีของฝรั่งเศส หรือที่รู้จักกันในนาม
"William the Conqueror" ได้ยกพลข้ามช่องแคบอังกฤษไปยึดครองอังกฤษ เขามีผู้ติดตามไปด้วย
มากมายไม่ว่าจะเป็นทหาร ขุนนาง หรือเจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ นับเวลาต่อมาอีกสามศตวรรษ(1066-
1200)ที่ ชาว Norman French และชาว Anglo-Saxon ต้องอยู่ร่วมกันคละเคล้ากันไปในอังกฤษทั้ง
คนและ "ลิ้น" แม้จะอย่างไม่เป็นมิตรเสียทีเดียวนัก
ขณะเดียวกันชาว Anglo-Saxon ยังยึดมั่นในภาษาในภาษาของตน ดี้อรั้นใช้มันเรื่อยไป แต่อ
ย่างไรก็ตาม ราชสำนักและหน่วยปกครองต่าง ๆ ชั้นบนอันฝรั่งเศสครอบครองอยู่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็น
ทางการ ย่อมหลีกไม่พ้นที่ถ้อยคำของฝรั่งเศสจะร่วงหล่นลงสู่ชาว Anglo-Saxon ซึ่งอยู่พื้นล่าง คำภาษา
ฝรั่งเศสจึงมีลักษณะเจาะทะลวงเข้าหาสังคมในแนว "บนลงล่าง" คำศัพท์จึงโดดเด่นและแตกต่างจากคำ
ภาษาอังกฤษอย่างเห็นได้ชัด

เพื่อเข้าใจความสำคัญของเหตุการณ์นี้ในแง่ของภาษาศาสตร์ เราจะต้องย้อนประวัติศาสตร์ไปอีก
ในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช สรุปย่อได้ความว่าเมื่อกรุงโรมเข้ายึดครองฝรั่งเศสชาวฝรั่งเศสรับ
เอาภาษาละตินมาเป็นภาษาของตนเอง ภาษาละตินเหล่านั้นมีการเปลี่ยนแปลงการออกเสียงเพื่อให้
"ถนัดปาก" คนฝรั่งเศส เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับภาษาละตินในสเปน ปอร์ตุเกส อิตาลี ฯลฯ
ตัวอย่างเช่น คำภาษาละตินที่แปลว่า "good" คือ bonus เมื่อเข้าไปอยู่ในภาษาอิตาเลียนเป็น
buono ภาษาสเปนเป็น bueno ภาษาฝรั่งเศสเป็น bon ภาษาโปร์ตุเกสเป็น bom เป็นต้น

เหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นในยุคที่เรียกว่า Renaissance (1500-1650) ซึ่งเป็นยุคของการฟื้นฟู
ศิลปะวัฒนธรรมครั้งใหญ่ในยุโรป เป็นการค้นพบความเจริญรุ่งเรืองของยุคคลาสสิคอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงนี้
เองที่ "คำยืม" มากมายมหาศาลจากภาษาละตินทะลักเข้ามาสู่ภาษาอังกฤษโดยทางตรง อย่างไรก็ตาม
นี่ไม่ใช่การยืมคำจากภาษาละตินมาใช้เป็นครั้งแรก มีหลักฐานยืนยันว่ามีคำละตินเข้าสู่ภาษาอังกฤษตั้ง
แต่ครั้งเมื่อพวกเขาอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ยุโรปแล้ว เช่นคำว่า street, mint, wine เป็นต้น "คำยืม
" จากภาษาละตินที่เข้ามามากมายเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคำประเภทศิลปะวิทยาการ "learned words"
และเข้ามาในภาษาอังกฤษโดยผ่านสื่อการเขียนมากกว่าการพูด

ดังนั้นเราจึงสามารถมองภาพรวม ๆ ได้ว่า ภาษาละตินที่เข้าสู่ภาษาอังกฤษนั้นมีทั้งมาโดย
ทางตรงจากภาษาละตินเลย กับผ่าน "ปาก" ภาษาฝรั่งเศสมา


เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้
เจตนาของการแปลเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาก็เพื่อให้เป็นหนังสือ "ใกล้มือ" ของนักแสวงหาความ
รู้ด้วยตัวเองซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ทั้งอยู่ในหรือนอกสถานศึกษา โดยจัดรูปแบบตายตัวคือ
-บอกรากศัพท์ ความหมาย ที่มาและความหมาย ตามท้ายด้วยข้อความประเภท "ปกิณกะ" ที่เกี่ยว
เนื่องกับรากศัพท์นั้น ๆ รากศัพท์ที่เป็นหัวเรื่องเหล่านี้เรียงตามลำดับตัวอักษร
-คำศัพท์ใน "ตระกูล" นั้น ๆ โดยแยกพยางค์ด้วยเครื่องหมาย "-" เพื่อสะดวกในการอ่านออก
เสียง โดยมีคำอ่านเป็นภาษาไทยไว้ในวงเล็บ ติดตามด้วยความหมายเป็นภาษาอังกฤษและภาษาไทย
โดยหวังว่าผู้อ่านจะเข้าใจความหมายได้ดีขึ้น คำศัพท์ที่ยกมาในแต่ละ "ตระกูล" เป็นเพียงจำนวนหนึ่งยัง
เหลือให้ผู้อ่านได้ค้นพบเองอีกมาก
-ปิดท้ายด้วยประโยคตัวอย่างการใช้คำนั้น ๆ และความหมายในภาษาไทย
การเขียนคำอ่านเป็นภาษาไทยถือเป็นเรื่องยุ่งยากใจไม่สิ้นสุด ด้วยความแตกต่างของการออกเสียงคำและ
การขาดหายไปของบางเสียงในแต่ละภาษา และหาความ "พอดีที่ลงตัว" ได้ยาก จึงหวังเพียงว่ามันจะ
เป็น "แนว" ให้คนที่ยังไม่คุ้นเคยการออกเสียงคำนั้น ๆ ส่วนผู้ที่คุ้นเคยภับภาษาอังกฤษมากแล้ว อาจดู
เพียงการแยกพยางค์ก็พอจะออกเสียงได้ถูกต้อง ความหมายของคำและของประโยคตัวอย่างก็เช่นเดียวกัน
จากการจัดรูปแบบดังกล่าว ผู้อ่านสามารถเริ่มต้นอ่านที่ "รากศัพท์" ใดก่อนหลังก็ได้ จึงหวังว่าจะเป็น
หนังสือที่ให้ "ความสุข" แก่ผู้อ่านตามสมควร
ขอขอบคุณผู้มีอุปการะทุกท่านด้วยวิธีไม่เอ่ยนามตามเจตนาของท่าน(และความจำเป็น)